เด็กๆ ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน ก็มักจะชอบฟัง นิทาน เรื่องเล่า ด้วยเหตุนี้นิทานหรือเรื่องเล่าต่างๆ จึงมักจะแฝงข้อคิดที่ผู้ใหญ่ต้องการสอนเด็กไว้ในเรื่องด้วยเสมอ ไม่ยกเว้นแม้แต่นิทานที่เกี่ยวกับผีที่หลายๆคนชอบ แม้จะกลัว แต่ก็อยากฟัง สำหรับเรื่องผีที่คนฟังกี่ครั้งก็ไม่เบื่อน่าจะได้แก่เรื่อง ผีกระสือ
กระสือ เป็นผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิง ชอบกินของโสโครก (ราชบัณฑิต 2542 : 58) กระสือจะออกหากินเวลากลางคืน มีลักษณะเป็นดวงไฟมีแสงสีเขียวสว่างวาบๆ ลอยไปเฉพาะส่วนหัว ผมยาว กับตับไตไส้พุงเป็นพวง เชื่อกันว่า กระสือชอบกินของสด สกปรก เช่น เศษหัวปลา ไส้ปลาตามน้ำครำแถวในครัว อุจจาระ บางครั้งบ้านใครคลอดลูก ผีกระสือก็จะมาคอยกินน้ำเลือด รกเด็ก เผลอๆอาจจะล้วงกินตับไตไส้พุงเด็กอ่อน เด็กก็จะตาย ดังนั้น พวกผู้ใหญ่จึงมักหาหนามไผ่มากองไว้ใต้ถุนบ้านที่มีคนคลอดลูก โดยบอกว่ากระสือจะไม่กล้าเข้า เพราะกลัวไส้ไปเกี่ยวติดหนามไผ่ แล้วจะทำให้ถูกจับหนีไปไหนไม่ได้ มีข้อสังเกตดูว่าถ้าผ้าที่ตากไว้มีรอยเปื้อนสีคล้ำๆ ก็แสดงว่าผีกระสือมาหากินแถวนั้น และเมื่อกินเสร็จแล้วจะเช็ดปากกับผ้าที่คนตากไว้กลางคืน
คนโบราณออกอุบายโดยอาศัยความกลัวผีกระสือของเด็กๆ เพื่อไม่ให้ลืมเก็บผ้าที่ตนตากไว้ เพราะผ้าที่ใช้ในสมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นผ้าที่ทอมาจากฝ้ายแทบทั้งสิ้น กว่าจะทอและตัดเย็บเสร็จแต่ละผืนก็ให้เวลานาน เนื่องจากไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมาช่วยดังเช่นในปัจจุบัน จึงทำให้ชำรุดเสียหายได้ง่าย ดังนั้น การตากผ้าทิ้งไว้ข้ามคืน ก็จะทำให้ผ้าเปียกฝนหรือน้ำค้าง ส่งผลให้ผ้าเก่าเร็ว ชำรุดเปื่อยง่าย นอกจากนี้อาจสูญหายจากการถูกขโมย หรืออาจมีสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ มาแอบหลบอาศัยอยู่ และจะเป็นอันตรายเมื่อนำไปสวมใส่ ที่สำคัญคือยังแสดงถึงความเกียจคร้านของเจ้าของผ้า ไม่รู้จักเก็บรักษาทรัพย์สิน ดงนั้น โบราณอุบายเรื่องนี้จึงเป็นการสอนให้ลูกผู้หญิงรู้จักเป็นแม่บ้านแม่เรือน คอยดูแลรักษาสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน นั่นเอง
ในตอนต่อไป จะเล่าถึงโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความกลัว ตระหนักและละเว้นไม่ประพฤติ
ปฏิบัติในเรื่อง “อย่าด่า อย่าตีพ่อตีแม่ ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะโตเท่าใบลาน” โปรดติดตามนะคร๊าบ