หลายคนอาจสงสัยอยู่ เข้าตามนี้เลยจร้า
>>การชาร์ตแบตเตอรี่อย่างถูกหลักวิชาการ<< แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นชนิด Lithium Ion (Li-on) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา โดยไม่เกิดปัญหา Memory Effect (โน้ตบุ๊คบางยี่ห้ออาจจะเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิด Lithium Polymer หรือตัวย่อ Li-Polymer ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน แต่น้ำหนักเบากว่า)
ปัญหา Memory Effect คือกรณีที่แบตเตอรี่ถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่อยู่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่มันเคยเก็บไว้ได้ เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ปัญหา Memory Effect จะมีผลกระทบต่อแบตเตอรี่ชนิด Ni-Cad แต่สำหรับ Li-on และ Li-Polymer จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
แบตเตอรี่แบบ Li-on และ Li-Polymer จะนับการชาร์จเป็นรอบ (Cycle) โดยจะแบ่งแรงดันออกเป็น 3 ระดับคือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 65-70%, 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%
เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่ให้คุ้มค่า
1. ควรชาร์จแบตเตอรี่ ณ ระดับพลังงาน ที่ 35-60 %
2. จะถอดหรือจะใส่แบตฯ อย่างไรดี?
มีคำแนะนำที่ว่า “หากจะไม่ได้มีการใช้โน้ตบุ๊คเป็นระยะเวลานานให้ทำการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่อง”
หากทำการเก็บแบตเตอรี่ที่อุณหภูมิปกติ (25 องศาเซลเซียส) แบตเตอรี่ที่มีความจุ 40% จะคลายประจุออกมา 4% หลังจากผ่านไป 1 ปี และยิ่งอุณหภูมิการเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่แบตเตอรี่ที่มีความจุเต็ม 100% จะคลายประจุออกมาถึง 20% หลังจากผ่านไป 1 ปี และหากอุณหภูมิ การเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน จึงสรุปได้ว่าหากต้องการถอดและเก็บแบตเตอรี่นั้นควรให้แบตเตอรี่มีความจุ 40% และควรเก็บในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และไม่มีความชื้น (ตัวเลข 40% นี้เป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดจากการทดลองในห้องแล็ป)
*** ในทางกลับกัน กรณีที่มีการใช้งานโน้ตบุ๊ค การชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งควรชาร์จให้เต็มความจุของแบตเตอรี่
3. ถ้าเสียบปลั๊กใช้งานควรจะใส่หรือจะถอดแบตฯ ดี?
ภายในแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คนั้นจะมีวงจรไว้สำหรับควบคุมการชาร์จ โดยลักษณะของวงจรชาร์จแบตเตอรี่ที่พบในโน้ตบุ๊คจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่ 1 ทำการชาร์จตลอดเวลาแม้ระดับความจุของแบตเตอรี่จะสูงกว่า 90% วงจรแบบนี้จะพบได้ในโน้ตบุ๊ค รุ่นเก่าๆ ส่วนแบบที่ 2 วงจรชาร์จแบตเตอรี่จะทำงานเมื่อระดับความจุของแบตเตอรี่ต่ำกว่า 90-95% (แล้วแต่ยี่ห้อ) โดยโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะใช้วงจรแบบที่ 2 นี้ เกือบทั้งหมด
สรุปได้ว่า หากโน้ตบุ๊คเป็นรุ่นที่ใช้แบบเตอรี่วงจรการชาร์จแบบที่ 2 การเสียบปลั๊กเล่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดแบตออกเพราะวงจรการชาร์จของแบตเตอรี่ยังไม่ได้ทำงาน (ในกรณีที่แบตเตอรี่มีความจุมากกว่า 90-95%) แต่หากแบตเตอรี่มีความจุไม่ถึงระดับ 90-95% แนะนำให้ทำการใช้งานไปจนกว่าความจุของแบตเตอรี่จะลดลงถึงระดับ 2C หรือ 1C แล้วจึงค่อยเสียบปลั๊ก
อย่างไรก็ตามด้วยคุณลักษณะของแบตเตอรี่แบบ Li-on นั้นจะมีการคลายประจุออกมาอยู่แล้วในอัตรา 10 % ต่อ 1 เดือน และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คก็จะไม่เกิน 2-3 ปี แต่หากมีการใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสมก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น
***********************
ขอบคุณบทความดี ๆ จากทีมงานของ Notebookspec.com
ส่วนแบตฯ NiCD เป็น แบตรุ่นเก่า ต้องใช้ให้หมดก่อนแล้วค่อยชาร์จใหม่ ( NiMH, Li-ion, Li-Poly ชาร์จตอนไหนก็ได้ )
โดยการชาร์จแรกครั้งถ้าเป็น NiCD, Ni-HM ให้ชาร์จ 8-12ชั่วโมงรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ทุกครั้งที่ชาร์จต้องใช้แบตให้หมดก่อน เพื่อกระตุ้นธาตุ Ni ภายในแบตเตอรี่
ส่วน Li-ion และ Li-Poly ครั้งแรกชาร์จ 6 ชั่วโมง แต่ Li-ion อย่าใช้หมดแล้วค่อยชาร์ต
บางคนชาร์จเสียบสายไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กจนเต็ม แต่พอเต็มก็ไม่ถอดปลั๊กออก แบบนี้สามารถทำได้ครับ โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆ แบตเตอรี่จะมีวงจรชาร์จไฟที่คอยควบคุมเวลาไฟเต็ม ซึ่งหากคุณเสียบปลั๊กค้างเอาไว้ วงจรชาร์จไฟก็จะไม่ทำงานเมื่อแบตเตอรี่เต็มแล้ว แต่โน้ตบุ๊กจะหันมาใช้พลังงานจากปลั๊กไฟที่เสียบค้างไว้แทนจนกว่าที่คุณดึงสายไฟออกเมื่อไร โน้ตบุ๊กก็จะกลับมาใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เหมือนเดิม
ดูแบบเต็มได้ที่นี่