เอามาฝากจากใน Net ครับ
------------------------------------------------------------------------
แค่ 10 ปีเศษๆ ไม่น่าเชื่อว่าสถาบันอุดมศึกษาของไทยจะผลิตบัณฑิตจบปริญญาได้มากมายขนาดนี้
ก่อนจะมีกองทุนให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เมื่อปี 2538 เรามีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา 97,713 คน...ปีที่แล้ว 2551 เรียนจบ 491,384 คน
ประเทศไทยได้คนเรียนจบปริญญาเพิ่มขึ้น 500%
ในขณะที่ประชากรไทยเพิ่มขึ้นมาแค่เพียง 13.3%จากเดิมเมื่อปี 2538 มีประชากร 55,954,123 คน ปีที่แล้วมีประชากร 63,389,750 คน
และเมื่อปี 2538 ประเทศไทยมีสถาบันผลิตบัณฑิตระดับอุดมศึกษาทั้งของภาครัฐและเอกชน...47 แห่ง หลังจากมี กยศ. 12 ปี วันนี้ประเทศไทยมีสถาบันระดับอุดมศึกษา เพิ่มมาเป็น 165 แห่ง
ประหนึ่งเม็ดเงินที่เด็กต้องกู้หนี้ เป็นเม็ดฝนที่พร่างพรมให้มหาวิทยาลัยผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดในหน้าฝน
จะใช่ภาคภูมิใจของคนไทยหรือเปล่า...ในเมื่อเรียนจบออกมาต้องพกหนี้แล้วไม่มีงานทำ บัณฑิตที่จบมีงานทำ 70% ตกงาน 30%
แต่นั่นเป็นภาพรวมโดยเฉลี่ยทุกสาขาวิชา ถ้าดูรายละเอียดเจาะลึกลงไป เป็นรายสาขาจะเห็นภาพชัดว่า สาขาวิชาที่มีเด็กเรียนเยอะ มหาวิทยาลัยเปิดสอนกันแยะ โดยเฉพาะสาขาวิชาที่ลงทุนต่ำ มีแค่ห้องเรียน หนังสือ อาจารย์ ก็เปิดสอนเก็บเงินกู้จากเด็กได้...ตกงานสูงอย่างน่าตกใจ
ปี 2549 มีบัณฑิตที่จบสาขาสังคมศาสตร์มากที่สุด 166,217 คน รองลงมาเป็นสาขาวิศวกรรมศาสตร์ 77,450 คน และศึกษาศาสตร์ 29,968 คน
?บัณฑิตที่จบมาแล้วตกงานมากที่สุดคือสังคมศาสตร์ ประมาณ 90,000 คน เพราะตลาดแรงงานในประเทศไทยมีความต้องการแรงงาน ด้านนี้แค่ 10-15% เท่านั้น??ขณะนี้การศึกษาของเรามีปัญหามากในเรื่องผลิตบุคลากรได้ ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกในประวัติ-ศาสตร์การศึกษาไทย ที่รัฐบาลมีนโยบายจะผลิตนักเรียนนักศึกษาให้ได้ตรงตามความต้องการของตลาด ไม่ใช่ปล่อยให้ผลิตคนตาม ความต้องการของสถาบันการศึกษาเหมือนที่ผ่านมา?
?สถาบันการศึกษาของไทยจะต้องเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคหรือตามความต้องการของสถานประกอบการ ไม่ใช่ผลิตสินค้าที่โรงงานอยากจะผลิต? นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ให้ความเห็น
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อธิบายถึงที่มาของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อวางแผนผลิตและ พัฒนากำลังคน (กรอ.ศธ.) ซึ่งถือกำเนิดมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผลงานชิ้นโบแดงที่ไม่ใช่ประชานิยมของรัฐบาลชุดนี้
ขณะนี้การทำงานของ กรอ.ศธ. อยู่ในขั้นสำรวจความต้องการของภาคเอกชน และภาคราชการต้องการบุคลากรแบบไหนไปทำงาน เพื่อจะได้วางแผนได้ถูก
แต่ผลจากการประชุมระดมสมองของ กรอ.ศธ. ที่ผ่านๆ มา รมช.ศธ. เล่าให้ฟังว่า ความต้องการของตลาดแรงงานของสถานประกอบการมีความ
ต้องการแรงงานระดับสูง จบปริญญาตรีขึ้นไปแค่ 10%
ต้องการแรงงานระดับกลาง ระดับปฏิบัติการ 20%
ต้องการแรงงานระดับล่าง จบ ม.6 ลงมา 70% ตลาดแรงงานต้องการคนเรียนจบสายอาชีพ จบ ปวช. ปวส.สูงกว่าปริญญาเท่าตัว แต่การศึกษาของบ้านเรากลับผลิตได้ตรงข้ามกับที่ตลาดต้องการ
ปี 2551 มีบัณฑิตจบปริญญาตรี 491,384 คน...จบการศึกษาสายอาชีพ ปวช. ปวส. ได้แค่เพียง 165,430 คน ต่างกัน 3 เท่าตัว
ผลิตบัณฑิตจบปริญญาตรีออกมามากล้น ต้องตกงานไม่มีงานทำต้องเรียนต่อ...ทุกวันนี้เราเลยเห็นคนเรียนต่อปริญญาโท-เอกมากขึ้น
แต่เรียนต่อไปก็เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ที่จบมาล้วนอยู่ในสาขาที่เสี่ยงตกงานสูงทั้งสิ้น...เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาของเราในขณะนี้ มีสัดส่วนผลิต บัณฑิตสายสังคมศาสตร์มากถึง 68%
สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลิตได้ 26%...สายวิทยาศาสตร์สุขภาพผลิตได้ 6%
?ถ้าจะผลิตบัณฑิตให้ได้ตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น ในช่วง 5-10 ปีนับจากนี้ เราต้องผลิตบัณฑิตด้านสังคมศาสตร์ให้น้อยลงเหลือแค่ 50% ด้านวิทยาศาสตร์ทุกแขนงต้องเพิ่มจาก 32% เป็น 50%?
แต่การศึกษาระดับปริญญาของไทย ใช่จะมีปัญหาแต่เรื่องปริมาณไม่สอดคล้องต่อความต้องการเท่านั้น...ยังมีปัญหาเรื่องผลิตบัณฑิตไม่ได้คุณภาพอีกต่างหาก?เป็นปัญหาที่เราได้รับการต่อว่าจากภาคเอกชนมาก บัณฑิตที่เรียนจบมามีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอจะทำงานได้สมกับที่จบปริญญาตรี?
คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นถึง 3 ด้านด้วยกัน
1.จบปริญญาตรี อย่างน้อยต้องพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ใช้คอมพิวเตอร์ สื่อ IT เป็น คอมพิวเตอร์มีปัญหาต้องแก้ได้
รวมทั้งขาดความสามารถในการวิเคราะห์ตัวเลข วิเคราะห์ระบบปัญหางาน...คิดงานเองไม่เป็น งานมีปัญหาคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาไม่ได้
2. ขาดทักษะ ความเชี่ยวชาญในวิชาที่ตัวเองเรียนมา เรียนจบมาได้โดยมีความรู้ไม่จริง อย่างจบวิศวะมีความรู้แต่ทางทฤษฎี ไม่มีความรู้ทางภาคปฏิบัติ
3. ขาดเจตคติที่ดีต่อการทำงาน ขาดความรับผิดชอบต่องาน ขาดความอดทน ไม่มีวินัย ไม่ตรงต่อเวลา ขาดภาวะผู้นำ
ที่สำคัญที่สุด...ขาดความซื่อสัตย์ ภักดี
ต่อองค์กรที่ตัวเองทำงานด้วย
?ปัญหานี้ บางอย่างไม่สามารถแก้ได้ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะในเจตคติ จริยธรรม คุณธรรมนั้น ต้องสอนกันตั้งแต่เด็กเลย ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรกันต่อไป?
เมื่อการศึกษาของไทยมีปัญหาเยี่ยงนี้ รมช.ศึกษาฯ ให้ข้อคิดสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองและนักเรียน ที่คิดจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย...จะเลือกเรียนอะไร คิดให้ดี ถ้าอยากจบแล้วมีงานทำ
?อันดับแรกเด็กต้องคิดว่า ตัวเองชอบอะไร อยากเรียนอะไร เพื่อเรียนจบแล้วจะได้ทำงานที่เราชอบเรารัก??แล้วเอาความต้องการของตลาดแรงงานด้วยมาประกอบคิดเป็นตัวเลือก ด้วยว่า ตลาดแรงงานต้องการคนจบอะไรมาก คิดตัดสินใจช่างน้ำหนักได้แล้ว ให้เลือกเรียนอย่างนั้น?
สาขาที่มีคนเรียนเยอะ ตกงานแยะ...ห่างๆเข้าไว้
อย่าเลือกเรียนตามเพื่อน และอย่าเลือกเรียนแบบตามแต่มหาวิทยาลัยจะเปิดสอน ด้วยมีเงินกู้เป็นตัวล่อ...จะเสี่ยงตกงาน
ผู้ปกครองพ่อแม่หลายคนอาจจะถามว่า ในเมื่อเรียนปริญญาตรีบางสาขาต้องตกงานสูง ทำไมกระทรวงศึกษาฯ ถึงไม่ออกระเบียบลดการเรียนการสอนในสาขาวิชาที่ตลาดแรงงานไม่ต้องการไปเสียเลย...เพื่อจะได้ตัดปัญหา ตั้งแต่ต้นลม
นายชัยวุฒิ อธิบายว่า กระทรวงศึกษาฯ ไม่สามารถทำได้ ด้วยกฎหมายให้มหาวิทยาลัยเป็นอิสระ ให้อำนาจกระทรวงศึกษาฯ ทำหน้าที่ได้แค่ควบคุมหลักสูตรการสอนให้เป็นไปตามมาตรฐานเท่านั้น
มหาวิทยาลัยจะเปิดสอนสาขาวิชาอะไร ต้องได้มาตรฐาน...ส่วนมหาวิทยาลัยจะเปิดมาก เปิดน้อย เปิดสอนมากล้นจนเด็กต้องตกงาน เป็นอิสระที่มหาวิทยาลัยก็สามารถทำได้
ถ้าไม่อยากกู้หนี้เพื่อเอาใบปริญญาแล้วตกงาน...ต้องฉลาดคิด ฉลาดเลือกเอง
อย่าเสียค่าโง่ให้มหาวิทยาลัยร่ำรวย...โกยเงินกู้ของเด็ก
ที่มา:
http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/39860