เข้าระบบ

ชื่อเรียก:

รหัสผ่าน:

จำฉัน



ลืมรหัสผ่าน?

สมัครสมาชิก!

เมนู






อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให ้เด็กสติขาด
มือสมัครเล่น
เป็นสมาชิกเมื่อ:
8/6/2007 13:32
กลุ่ม:
สมาชิก
โพส: 57
พอดีได้ forward mail นี้มาเป็นข้อเตือนใจในการเลี้ยงลูกครับ



หวัดดีค่ะ ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะเพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มาก็น้อยเพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบๆๆ4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้และตอนนี้เพื่อนมีน้องแล้วค่ะ เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ
และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรนิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะคือเหมาะสมถึงไม่รวยมากแต่ก็เกินปานกลาง นะคะ พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ. ปัจจุบันก้ 5 ขวบกว่าแล้วค่ะ ได้โทรไปหาเพื่อน เพระตอนนี้เรามีลุก 4 ขวบกว่าค่ะก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้
เป็นหลัง และอาศัยถามคนอื่นด้วย และไม่อายที่จะถามด้วยเพราะคิดว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดี จึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะ และถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรงร้องให้จะเป็นจะตายเดียวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ย แกเป็นไรว่า เป็นไร มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครก็ไม่ได้ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป้นคนผิด***ผิดอย่างร้ายกาจ****จากครอบครัวสามี และ แม่ตัวเองมันปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพระพื้นฐานคือ ทั้งสามีและเพื่อนเป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลยเพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน


เรื่องคือ ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่านิดๆๆๆได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน คอมพร้อม เพื่อนดี สัมคมดูดีเพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามักมาก .......... โรงเรียนดังพ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์ (มันบอกอย่างนี้ค่ะ) เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกันต้องติวอย่างน้นต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ เพื่อนก็เป็นเช่นนั้นและมันบอกว่าก็มีการเม้มที่เด็ดๆๆไม่บอกใครก็มี........อื่อ.... ที่นี้ ลูกเรียนจ-ศ ยัน 6 โมงเย็น เป็นอย่างงี้ตั่งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3 คะ นอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน ตี 5 ครึ่งเพระเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่ซึ่งอยู่ นอกเขตและห่างโรงเรียนมาก อ ออกจากบ้าน ไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น และไปถึงโรงเรียน ประมาณ เกือบ 7 โมง เสาร์ เรียนพิเศษเสริมถึง บ่างโมงเริ่ม 8 โมงเช้า และ บ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ กลับบ้าน วันอาทิตย์ เรียนคุมองเสริม ครึ่งวันหลัง ผักผ่อน............ตอน 1ทุ่มวันอาทิตย์ต้องทบทวนงานและเตรียมควมพร้อมเพื่อไป เรียนวันจันทร์ และแนะนำจากพ่อและแม่ ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน ยาวๆๆๆๆมากตัดสั้นหนอ่ยนะคะและเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ......ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...เพระไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้วสังคมเมืองของแท้ ปั้นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น วันนั้น วันอาทิตย์ลูกก็ปั้นจักยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ก็เรียก ให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมกินข้าวและทบทวนการบ้าน ลูกก็ไม่ฟัง จนเพื่อนและสามีโมโห บอกว่า เสียงดังน่ะคะ.....เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้จักรยาน.กต่อไป ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูก (สามี)เข้าบ้านป๋าจะโยนจักรยานทิ้งถ้าทำอย่างนี้.ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ และยกมือ ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ใหนจักรยานคือ เพื่อน ของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น ป๋าอย่าทำนะ ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไรเพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น และ.เหตุการณ์หนึ่งกว่าจะจับใจความได้มันร้องไห้ไม่อยุดเพื่อนจุดพลุเลย....... ลูกกลับจากบ้าน คุยกับพ่อและแม่ อยากดูอุลต้าแมน มดเอ๊กบ้างเพื่อนคุยกันที่ โรงเรียน เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรอื
(เด็กอนุบาลนะค่ด) ทำให้เค้าไม่ มีปฏิสัมพันกับเพื่อน เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสิรมความรู้ เช่น ถ้าดูUBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้ สามีและเพ่อนบอกว่า ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้เปล่าตอนนี้เพื่อนอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้า การตูนมีแต่ความรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบเราใช้เวลาทบทวนและเรียน ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ ลูกคิดดูโตขึ้นลูกก็จะเป้นนายคนพวกนี้และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็กขาด......................การสอนจะประมาณนี้
ตลอด แต่เพื่อนบอกว่า มันและสามีทำดีที่สุดและ ให้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนทั่วไปบางที่ก้ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป จน... เล่าแบบรวบรัดนะคะ .........ที่นี้หนักสุด ต้องติวเข้า ป. 1ที่นี้เวลาเล่น แทบน้อยมากแต่ก็ได้ ติดที่ป 1 ที่หวังไว้..........แต่ก็ต้องเรียนเสิรมเหมือนเดิม....ฯลฯ จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้จนลูกโกรธจนตัวสั้น และพูดว่า เค้าจะไม่เป็นคนดี เค้าเบื่อที่สุดแล้ว เค้าอยากเล่นฟุตบอลเค้าอยากวิ่งเล่น อยากดูการตูน อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อ่านให้ เค้าเกรียดพ่อและแม่ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว (เพื่อนมันบอกว่า ลูกพูดจนลิ้นพันกันตัวสั้นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก (ป 1) อะไรก็พูดๆๆๆๆออกมา ร้องให้ หน้าแดง กำหมัดเขวี้ยงของ เสียงดัง ในระหว่างนั้นสามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน


พอผ่านไปสักระยะจนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอยไม่มองกระดาน และไม่มีปฎิสัมพันกับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมดแต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มี อารมณ์รว่มแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อแต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ และพูดน้อยลงใช้สายตาและท่าท่างคิดมากขึ้น.........ฯลฯ


เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไมเชื่อก็สักพักใหญ่ๆๆจึงไปพบหมอที่สมิตเวช หมอ แจ้งว่า................น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรงกับเก็บกดในส่งที่ฝื้นความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมองแต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุก อย่างเอง ไม่รับเอง ไม่เอาเอง ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือแล้วเมื่อไรเค้าจะรับ และเปิดใจ กลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูดตัดด้วยตัวเค้าเอง..................เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำคงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น เรามีทางแก้ถ้าเค้าเป็นดาว เรา รู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาดถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทาง ความคิดในอนาคต............................... ทุกวันนี้ผลคือ สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่งแต่ก็เริ่มโทษภรรยามากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้ มันรับกรรมเต็มๆๆๆ ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้ มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆๆๆๆๆๆๆ มันเศร้ามากค่ะ คงพิมพ์ได้เท่านี้นะคะ เพราะมันยาวเหลือเกิน ดิฉันเป็นคนแรกที่มันเปิดใจอย่างสุดๆๆๆๆๆๆมันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพระมันอาย.......... เรื่องนี้เอาไว้แค่เป็นแนวทางการวางแผนน่ะคะ

โพสเมื่อ : 28/6/2007 13:34
Transfer the post to other applications Transfer


Re: อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให ้เด็กสติขาด
มืออาชีพ
เป็นสมาชิกเมื่อ:
21/5/2007 18:21
กลุ่ม:
สมาชิก
โพส: 404
ขอบคุณมากกกกค่ะ ที่แบ่งปันเรื่องดีๆที่เป็นประโยชน์
ฝากไปถึงพ่อแม่ด้วยนะคะ ป้าเอมว่า ปัญหาในสังคมปัจจุบันนี้ก็คือ
พ่อแม่นิยมมีลูกเพียง"คนเดียว" ทำให้ทุ่มเทก้นสุดๆ โดยที่เบื้องหลัง
ของการทุ่มเทนั้น ถ้าวิเคราะห์ดู บางทีอันดับหนึ่งไม่ใช่ลูก
แต่เป็นภาพลักษณ์ในสังคมที่ต้องการการชื่นชม กลัวจะโดนคนอื่นวิพากษ์ว่า
ไม่ได้เรียนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ เป็นต้น
ของป้าเอมเนี่ย ลูกๆไปเรียนวันเสาร์ค่ะ แต่เพราะน้องมาขอเอง เค้ามีสังคม
เพื่อนของเค้า จริงๆเค้าอยากไปเล่นมากกว่าค่ะ เพราะวันเสาร์วิชาไม่ได้
หนักหนาอะไร เพิ่งมาเริ่มเรียนปีที่แล้วนี่เอง(ตอนนี้ป.5)ค่ะ
สิ่งนึงที่ป้าเอมไม่เคยเอามาเป็นหัวข้อพิจารณาในการตัดสินใจคือ
"ใครๆเค้าก็เรียนกัน หรือ ใครๆเค้าก็ทำกัน" เพราะเป็นการเปรียบเทียบ
ขอให้หันมามองลูกของเราว่า เค้าต้องการอะไร อย่าลืมถามเจ้าตัวด้วยนะคะ
แต่ในที่สุดต้องถามตัวเองว่า เราจะปั้นลูกของเราเพื่อใคร เพื่อตัวเค้ามากกว่า
หรือเพื่อให้เราดูดี...

โพสเมื่อ : 29/6/2007 8:31
_________________
Open in new window
Transfer the post to other applications Transfer


Re: อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให ้เด็กสติขาด
มือเซียน
เป็นสมาชิกเมื่อ:
11/4/2007 17:18
กลุ่ม:
ผู้คุ้มกฎ
โพส: 3995
สงสารเด็กเนอะ เห็นแบกกระเป๋ากันหนักมากๆ วันก่อนลงเอากระเป๋าเป้ของหลานชายที่เรียนอยู่ ป.3 กรุงเทพคริสเตียนไปชั่งตาชั่ง เพราะสงสะยว่าทำไมมันหนักขนาดนี้ ปรากฎว่าหนัก 6 กิโลครึ่งค่ะ !!!~ พูดไม่ออกเลย

โพสเมื่อ : 29/6/2007 10:18
_________________
Life goes on. Open in new windowOpen in new windowOpen in new window
Transfer the post to other applications Transfer


Re: อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให ้เด็กสติขาด
มือวาง
เป็นสมาชิกเมื่อ:
15/5/2007 16:45
กลุ่ม:
สมาชิก
โพส: 927
นี่หละครับสังคมเมืองครับ เดี๋ยวนี้เป็นเด็กเครียดมากครับ พ่อ-แม่แต่ละคนก็พยายามจะหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีให้กับลูก โดยไม่ได้มองกลับไปว่าถ้าเราเป็นเด็กแล้วเด็กจะรับไหวหรือชอบหรือเปล่านะครับ ผมมีประสบการ์กับลูกศิษย์ผมคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นเขาเรียนอยู่ปี 5 (คณะแพทย์) เด็กเขาเป็นคนเรียนปานกลางครับ เขาชอบมาคุยกับผมบอกว่าเขาไม่ชอบที่จะเป็นหมอเลย ที่เรียนนี่ก็ทนเอามากๆๆเลยครับ เพราะที่บ้านอยากจะเป็น เขาไม่ชอบสังคมวิชาการแบบนี้ ซึ่งผมก็ปลอบใจว่าทนเอาหน่อยอีกเดี๋ยวก็จบแล้ว พอจบแล้วคุณอยากจะไม่เป็นหมอก็ได้ ไปเรียนหรือหาอะไรที่ชอบทำยังไม่สาย ถือว่าเราทำสิ่งที่พ่อ-แม่แล้วอยากจะให้ทำแล้ว หลังจากคุยกับเขาได้เทอมหนึ่ง รู้ข่าวมาว่าเขาลาออกครับ ไม่ใช่เรียนไม่ได้นะครับ เพราะเขาทนไม่ได้ เขาเลยไป ent ใหม่เข้าคณะศิลปกรรมครับ ซึ่งผมมาเจอเขาอีกครั้งหลังจากที่เขาเรียนคณะศิลปกรรม ดูเขาแล้วเขามีความสุขมากๆๆเลยครับ เขาบอกว่าเขาทนไม่ได้จริงๆๆกับสังคมแบบนี้ เขาบอกพ่อ-แม่ว่าไม่เรียนแล้ว ตอนแรกทางบ้านก็ไม่ยอมจนเขาต้องแอบไปลาออกเอง และ ent ใหม่หลังจากนั้นทางบ้านเขาจึงค่อยๆที่จะยอมครับ ซึ่งผมว่าเรื่องที่ทางเจ้าของกระทู้เขียนและเรื่องนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่จะบอกอะไรๆให้กับพ่อ-แม่ สมัยนี้ได้นะครับ
เฮ้อบ่นมาซะเยอาะแล้ว ชักเริ่มหิว เดี๋ยวลงไปหาอะไรทานดีกว่าครับ

โพสเมื่อ : 29/6/2007 10:37
_________________
ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
Transfer the post to other applications Transfer







[ค้นหา ขั้นสูง]