แม้ทาง Samsung จะเปิดตัวแท็บเล็ตหน้าจอ 10.1" รุ่นใหม่ซึ่งเป็นแท็บเล็ตบางที่สุดในโลกไปแล้ว แต่สำหรับรุ่นเดิมที่ถูกเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Galaxy Tab 10.1v นั้น ทาง Samsung ก็ยังคงทำตลาดอยู่ โดยเริ่มวางขายในบางประเทศไปแล้วด้วย หลายๆ คนที่รอรุ่นใหม่ไม่ไหว ก็คงไปซื้อหามาใช้งานเป็นที่เรียบร้อย



Samsung Galaxy Tab 10.1v นี้มีสเปคโดยรวมไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นใหม่ที่บางกว่ามากนัก และด้วยตัวเครื่องที่หนากว่า จึงสามารถวางกล้องความสามารถสูงกว่า โดยรุ่น 10.1v นี้มีกล้องด้านหลังความละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่รุ่นใหม่ถูกลดลงไปเหลือเพียงแค่ 5 ล้านพิกเซล ระบบปฏิบัติการภายในเครื่องแน่นอนว่าต้องเป็น Android 3.x ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะแน่ๆ เกริ่นมามากแล้ว มาดูคลิปแกะกล่องดีกว่า





เชื่อว่ารุ่น 10.1v นี้คงไม่เข้าตลาดประเทศไทย คงรอรุ่น 8.9" และ 10.1" บางๆ มากกว่า แค่นี้ Samsung ก็มีปัญหากับการตั้งราคาขายมากอยู่แล้ว

อ้างอิง : netbooknews.com

ก่อนหน้านี้ Samsung ได้เปิดตัวแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ขนาดพอเหมาะหน้าจอ 8.9" ในงาน CTIA แต่ยังเป็นเพียงเครื่องที่ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง เพียงแต่ให้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกโชว์ความสวยงามและความบางเท่านั้น



ตอนนี้ Samsung Galaxy Tab 8.9" รุ่นใช้งานได้จริงมีให้เห็นกันแล้ว แน่นอนว่าใครที่รอๆ กันอยู่คงไม่ต้องรอกันนาน คงมีให้ซื้อหากันได้เร็วๆ นี้แล้ว มาดูกันว่าระบบปฏฺิบัติการภายในเป็นอย่างไร รูปลักษณ์ภายนอก ปุ่มและพอร์ทต่างๆ มีอะไรบ้าง



Samsung Galaxy Tab 8.9" ถือเป็นแท็บเล็ตขนาดกำลังพอเหมาะ สำหรับหลายๆ ท่าน แท็บเล็ตรุ่นหน้าจอ 7" อาจจะเล็กเกินไป ส่วนรุ่นหน้าจอ 10.1" ก็อาจจะใหญ่และพกพาไม่สะดวก Samsung จึงลองผลิตแท็บเล็ตขนาดกลางมาแทรกตลาด ไม่แน่ อาจเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดก็ได้ ใครจะไปรู้ เรื่องนี้ต้องให้ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินใจกัน

อ้างอิง : netbooknews.com

ASUS Eee Pad Transformer แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) กลายเป็นของหายากไปแล้ว แม้จะเพิ่งวางขายจริงไปไม่นาน สาเหตุเป็นเพราะราคาที่ดึงดูดใจมากๆ แถมยอดการผลิตก็ยังน้อยกว่าความต้องการมาก ใครที่ได้มาแล้ว ต้องถือว่าโชคดีสุดๆ



สื่อต่างประเทศต้องไปซื้อ Eee Pad Transformer นี้ถึงที่ไต้หวัน เนื่องจากหาซื้อในประเทศตนเองไม่ได้ แม้จะเพิ่งประกาศวางขายไป มีข่าวว่า ASUS สามารถผลิตรุ่นนี้ได้เพียงประมาณ 10,000 เครื่องต่อเดือนเท่านั้น แล้วมันจะเพียงพอกับความต้องการของคนทั้งโลกได้อย่างไร ใครที่ได้ว่าก็คงตื่นเต้นสุดๆ เหมือนสื่อรายนี้ที่ทนไม่ไหว ถึงกับทำรีวิวแกะกล่อง Eee Pad Transformer นี้บนรถแท็กซี่ให้ดูกันเลย มาดูกัน



สำหรับสเปคของ ASUS Eee Pad Transformer คือเป็นแท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1" แสดงผลที่ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ใช้ชิพแพลทฟอร์ม Nvidia Tegra 2 ความถี่ 1 GHz หน่วยความจำ 1 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 16/32 GB ระบบเชื่อมต่อไร้สาย WiFi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 2.1+EDR มีกล้องด้านหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลและกล้องด้านหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล มีพอร์ม USB สองช่องกับพอร์ท Mini HDMI อีกหนึ่งช่อง มี Keyboard Dock พร้อมแบตเตอรี่อีกก้อนสำหรับแปลงให้มันกลายเป็นเน็ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Android ได้เลย ราคาเริ่มต้นก็น่าดึงดูดใจคือ $399 (ไม่รวม Keyboard Dock) เท่านั้น แน่นอนว่าราคาแบบนี้ แม้จะผลิตออกมาได้มากๆ ก็ยังน่าจะขาดแคลนอยู่ดี

อ้างอิง : netbooknews.com

ตลาดแท็บเล็ตแม้จะมีผู้ผลิตออกมาแข่งขันกันมากมายหลายรุ่น แต่ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงกันจริงๆ ในปัจจุบันมีไม่กี่รุ่น และที่โด่งดังสุดๆ ในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ล่าสุดคือ Apple iPad2 และ ASUS Eee Pad Transformer งั้นมาเปรียบเทียบสองรุ่นนี้ดูกันหน่อย



แท็บเล็ตทั้งสองรุ่นนี้ต่างใช้ซีพียูสถาปัตยกรรม ARM Cortex A9 ความเร็ว 1 GHz ทั้งคู่ มีชิพประมวลผลกราฟฟิคแรงๆ กันทั้งคู่ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการสำหรับแท็บเล็ตทั้งคู่แม้ Apple iPad 2 อาจได้เปรียบกว่าตรงออกมาก่อนเป็นปี ความเสถียรย่อมมีมากกว่าเป็นธรรมดา ส่วน Eee Pad Transformer เพิ่งใช้ Android 3.0 (Honeycomb) ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับแท็บเล็ตรุ่นแรกสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ต้องการการพัฒนา แก้ไขสิ่งบกพร่องอีกสักระยะ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสองรุ่นนี้วางขายในตลาดแล้ว ก็คงอดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกัน ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและความสะดวกและเสถียรภาพในการใช้งาน มาดูกันเลยดีกว่า



จะเห็นว่าส่วนติดต่อผู้ใช้ของ Apple iPad2 จะตอบสนองเร็วกว่า แต่ทั้งสองรุ่นก็ยังเป็นแท็บเล็ตขนาดใหญ่ที่พกพาไม่สะดวกนัก แท็บเล็ตหน้าจอ 7" ยังเป็นแท็บเล็ตที่เหมาะกับการพกพามากที่สุด หากต้องการเพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น คงต้องเลือกเอาว่าจะพกแบบหน้าจอไวด์สกรีน 10.1" ความละเอียดหน้าจอ 1280 x 800 พิกเซล (16:10) ของ Eee Pad Transformer หรือจอ 9.7" ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล (4:3) ของ iPad2 เรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบของระบบปฏิบัติการ เชื่อว่าไม่เกิน 1 ปีต่อจากนี้ก็จะตามกันทันแล้ว

อ้างอิง : netbooknews.com

ข่าวหลายกระแสบอกว่า iPad 2 จะพร้อมวางขายในประเทศไทยวันที 6 พฤษภาคมนี้ครับ รออีกแค่สัปดาห์เดียวก็คงรู้แล้วว่าข่าวนี้จริงหรือหลอก เรื่อง iPad 1 เข้าไทยช้าเพราะ firmware ตอนนั้นยังไม่มีคีย์บอร์ดภาษาไทย Apple ต้องรอจนพัฒนาเสร็จแล้วก็วางขายทันที

หลังจากเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Chrome OS ไปเป็นปี ในที่สุดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ก็เตรียมออกสู่ตลาดเสียที Samsung ผู้ที่จะก้าวมาเป็นผู้นำด้านไอทีก็เตรียมอุปกรณ์ไว้แล้ว นั่นคือ Samsung Alex




Samsung Alex เป็นเน็ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Chrome OS ใช้ซีพียู Intel Atom N550 1.5 GHz dual core มีหน้าจอแสดงผลที่ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล หน่วยความจำประมวลผล 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD จาก SanDisk มีทัชแพดจาก Synaptic กล้องเว็บแคมจาก Namuga ระบบเชื่อมต่อไร้สายทั้ง WiFi, Bluetooth และ 3G เป็นชิพ Qualcomm Gobi 2000 นอกจากนั้นยังมีพอร์ท VGA, USB และ card reader อย่างที่เน็ตบุ๊คอื่นๆ มี

สเปคก็พื้นๆ ไม่มีอะไร เหมือนเน็ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Windows 7 ธรรมดาๆ เหลือเกิน ที่เป็นข่าวคงเพราะมันมาพร้อมระบบปฎิบัติการ Chrome OS ที่จะทำงานอะไรต่างๆ ได้มากมายในเงื่อนไขว่าผู้ใช้ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว้ตลอดเวลาด้วย

อ้างอิง : liliputing.com

ASUS คงเอาจริงเอาจังกับแท็บเล็ต Eee Pad Transformer พอสมควร เพราะนอกจาก Keyboard Dock ที่เป็นอุปกรณ์เสริมเรือธงแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อีกหลายรายการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง



อุปกรณ์เสริมชิ้นแรกคือเคสที่ฝาสามารถพับเป็นขาตั้งได้ ดูๆ แล้วคล้าย Smart Cover ซึ่งเป็นเคสของ Apple iPad 2 จริงๆ สงสัยได้แรงบันดาลใจมา



อุปกรณ์เสริมชิ้นที่สองคือสายชาร์จพร้อมหัวแปลงนานาชาติ มีแค่ชุดเดียว ก็ท่องเที่ยวไปได้ทั่วโลก จะว่าไปแล้ว ใช้สายและอแดปเตอร์อันเดิมแล้วไปซื้อหัวแปลงถูกๆ อาจประหยัดกว่านะ



อุปกรณ์ชิ้นที่สามคือ Desktop Stand ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง คือนอกจากใช้เป็นขาตั้งแล้ว มันยังมีพอร์ม USB ขนาดมาตรฐานอีก 2 ช่อง สำหรับต่อคีย์บอร์ด เมาส์ หรือ USB Drive แถมยังมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. มาให้ด้วย



อุปกรณ์เสริมอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ SD card reader และ USB reader ใช้สำหรับแปลงคอนเน็คเตอร์ของเครื่องให้เป็นพอร์ท USB หรือเป็น SD card reader อุปกรณ์ชุดนี้ทำงานเหมือน Camera Connection Kit ของ Apple iPad เลย



ยังไม่หมด เนื่องจาก Eee Pad Transformer มีเพียงพอร์ท mini HDMI หากอุปกรณ์ที่ต้องการต่อด้วยมีเพียงพอร์ท VGA ธรรมดาๆ ก็จะต่อกันไม่ได้ แน่นอน ASUS คำนึงถึงจุดนี้ จึงผลิตอุปกรณ์เสริมเป็นสาย Mini HDMI to VGA มาให้ด้วย



สุดท้าย ไม่มีอะไรใหม่ มันคือสายหูฟังแจ็คมาตรฐาน 3.5 มม. มีพิเศษหน่อยก็ตรงที่หูฟังเป็นแบบ In-ear เสียบเข้าไปในรูหู ตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้สุดๆ



เห็นพาเพรดอุปกรณ์เสริมของ ASUS Eee Pad Transformer แล้ว หลายอย่่างดูน่าสนใจมาก อย่างไรก็ดี ตัวแท็บเล็ตเองยังเป็นของหายาก วางขายในสหรัฐฯ วันเดียว ของก็หมดสต็อค กลายเป็นของหายากแล้ว รุ่นนี้กว่าจะซื้อหาง่ายๆ ในเมืองไทย คงต้องรออีกพักใหญ่

อ้างอิง : blogeee.net

ตลาดแท็บเล็ตกำลังอยู่ในช่วงน้ำขึ้นให้รีบตัก มีหรือผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Sony จะยอมตกขบวน ล่่าสุดประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมีแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 3.0 ออกมา 2 รุ่นสองขนาดหน้าจอพร้อมแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows แบบมีคีย์บอร์ดสไลด์อีกรุ่นด้วย



แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 3.0 รุ่นแรกคือ Sony S1 ซึ่งมีขนาดหน้าจอ 9.4" แสดงผลที่ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล ใช้ชิพแพลทฟอร์ม Nvidia Tegra 2 มีทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง



ระบบปฏิบัติการเป็น Android 3.0 (Honeycomb) พร้อมโปรแกรมจาก Sony เองอีกเพียบ แท็บเล็ตนี้มีอินฟราเรดสำหรับควบคุมอุปกรณ์อื่นๆ ของ Sony ด้วย การเชื่อมต่อไร้สายมีทั้ง WiFi และ 3G มีระบบ DLNA สำหรับสตรีมมิงภาพและเสียงกับอุปกรณ์ที่รองรับด้วย



ตัวเครื่องของ Sony S1 จะไม่เหมือนแท็บเล็ตทั่วไปที่จะแบนๆ ป่องตรงกลางด้านหลัง แต่จะหนาด้านหนึ่งบางอีกด้านหนึ่งเพื่อให้จับได้ถนัดมือ ถือเป็นดีไซน์ที่ไม่จำเจ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยทีเดียว



แท็บเล็ตอีกรุ่นคือ Sony S2 เป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ที่มีสองหน้าจอ โดยแต่ละหน้าจอมีขนาด 5.5" แสดงผลที่ 1024 x 480 พิกเซล ใช้ชิพแพลทฟอร์ม Nvidia Tegra 2 เหมือนกัน มีกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลังเหมือนกัน




จุดเด่นของ Sony S2 คือมันมีสองจอ สามารถพับตัวเครื่องให้เหลือครึ่งเดียว พกพาสะดวกยิ่งขึ้น โดยหน้าจอด้านล่างสามารถใช้เป็น game controller ได้ด้วย



แท็บเล็ตอีกรุ่นคือ Sony Freestyle Hybrid PC ซึ่งเป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 7 ใช้ชิพแพลทฟอร์ม Intel Atom Oak Trail Z670 จุดเด่นของมันคือมีคีย์บอร์ดสไลด์อยู่ในตัว (เหมือน Samsung PC 7 Sliding และ Eee Pad Slider) ในอนาคตเมื่อ Intel พัฒนา Android 3.0 สำหรับชิพ Intel ได้แล้ว ก็สามารถนำมาติดตั้งกับแท็บเล็ตตัวนี้ได้ด้วย



สมรภูมิตลาดแท็บเล็ตนับวันจะมีคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ต่างโดดลงมาแข่งขันกันถ้วนหน้า เชื่อว่าอีกไม่นาน แท็บเล็ตจะมีอุปกรณ์ที่มีราคาถูก หาซื้อได้ง่ายกว่าปัจจุบัน ไม่ต้องไปพึ่งพาแท็บเล็ตจีนแดงอีกแล้ว

อ้างอิง : blogeee.net

Lenovo เป็นหนึ่งในบริษัทที่เปิดตัวแท็บเล็ตมานาน แต่กลับมีวางขายจริงช้ามาก รุ่น LePad ก็ยังไม่เห็นมีขายกันมากนัก ส่วนใหญ่จะวางขายที่ประเทศจีนและไต้หวัน ในสหรัฐฯ เองก็ยังไม่มี อาจเป็นเพราะชื่อ Lenovo เองอาจไม่แข็งพอจะเจาะตลาดระดับบนได้ Lenovo จึงเตรียมผลิตแท็บเล็ตซีรีส์ ThinkPad ที่มีชื่อเสียงโด่งดังออกมาแข่งแทน



สเปคของแท็บเล็ต Lenovo ThinkPad จริงๆ แล้วก็ไม่ได้โดดเด่นจากแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ในตลาดมากนัก แต่อุปกรณ์เสริมที่เตรียมผลิตออกมาด้วยต่างหากที่ทำให้ Lenovo ThinkPad กลายเป็นแท็บเล็ตระดับโปรไปได้ สำหรับสเปคของ Lenovo ThinkPad คือใช้ซีพียู Nvidia Tegra 2 ทำงานที่ความถี่ 1 GHz แบบ dual core โดยแม้จะมีหน้าจอใหญ่ 10.1" ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล เป็นหน้าจอแบบ IPS ที่สว่างและมีมุมมองที่กว้าง



พื้นที่เก็บข้อมูลมีตั้งแต่ 16 GB ไปจนถึง 64 GB มีทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลังให้เลือกใช้ตามต้องการ พอร์ทที่จำเป็นก็มีครบ ทั้งพอร์ท microUSB พอร์ท mini HDMI หรือแม้กระทั่งพอร์ท SD card slot (น่าจะอยู่ที่ Keyboard Dock) ระบบเชื่อมต่อไร้สาย WiFi 802.11 b/g/n และ 3G




จุดเด่นของ Lenovo ThinkPad คือจะมี Keyboard Dock ให้เลือกใช้ เมื่อประกอบเข้ากันแล้ว จะกลายเป็นเน็ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Android 3.0 ไปเลย นอกจากนั้นยังมี Active Digitizer ใช้เป็นปากกาจดบนหน้าจอได้เลย สำหรับงานด้่านธุรกิจแล้ว การใช้ปากกาจดโน้ตย่อมสะดวกและเร็วกว่าการใช้นิ้วจิ้มคีย์บอร์ดเสมือนที่หน้าจอ

กำหนดการวางตลาดอยู่ที่เดือนกรกฎาคม 2011 นี้ ราคาจะอยู่ที่ $499 เท่านั้น (ไม่รวมอุปกรณ์เสริม)

อ้างอิง : liliputing.com

Acer Aspire One Happy เป็นเน็ตบุ๊คที่เน้นตลาดนักเรียนและวัยรุ่น โดยมีสเปคเหมือนๆ กันเน็ตบุ๊คทั่วไป แต่เน้นที่สีสันที่แปลกตา โดยรุ่นใหม่นี้ จะใช้ดีไซน์หยดน้ำและเปลี่ยนซีพียูเป็นแบบ dual core ด้วย



Acer Aspire One Happy รุ่นแรกจะใช้สเปคพื้นฐานจากรุ่น Aspire One D255 ที่ใช้ซีพียู Intel Atom N455 1.66 GHz แต่รูปลักษณ์ภายนอกจะมีสีสันฉูดฉาดกว่า และในรุ่นปรับปรุงใหม่นี้ ยังคงใช้ปรัชญาเดิม แต่เปลียนจากการอิงสเปคพื้นฐานจากรุ่น D255 มาเป็นรุ่น D257 คือใช้ซีพียู Intem Atom N570 1.66 GHz แบบ dual core แทน



สเปคอื่นๆ คือเป็นเน็ตบุ๊คหน้าจอ 10.1" แสดงผลที่ 1024 x 600 พิดกเซล ระเบบเชื่อมต่อไร้สาย WiFi 802.11 b/g/n และ Bluetooth แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมง น้ำหนัก 1 กิโลกรัม สำหรับรุ่นใหม่นี้จะมีสีสันให้เลือกมากมายเช่นเคยคือ สี Blueberry Shake, Banana Cream, Papaya Milk และ Strawberry Yogurt เรียกให้ง่ายหน่อยก็คือสีน้ำเงิน, เหลือง, พีช และชมพูนั่นเอง

อ้างอิง : liliputing.com

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภคสามารถสั่งจอง hTC Flyer แท็บเล็ตหน้าจอ 7" ระบบปฏิบัติการ Android ได้แล้วจากร้าน Best Buy โดยราคาสำหรับรุ่น WiFi จะอยู่ที่ $499



ดูเหมือนราคา $499 นี้จะถูกกว่าที่เคยประกาศไว้ คงเป็นเพราะสมรภูมิแท็บเล็ตมีคู่แข่งขันมากมาย หากตั้งราคาแพงเกินไป แม้ผลิตภัณฑ์จะดี แต่คงทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อยากหน่อย สำหรับ hTC Flyer นี้จะเป็นแท็บเล็ตหน้าจอ 7" แสดงผลที่ 1024 x 600 พิกเซล ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) แต่ทาง hTC สัญญาว่าจะมีระบบปฏิบัติการ Android 3.0 (Honeycomb) ให้อัพเดทในอนาคตแน่นอน hTC Flyer จะแตกต่างจากแท็บเล็ตจอ 7' รุ่นอื่นๆ ตรงที่ใช้ซีพียู Qualcomm Snapdragon 1.5 GHz ไม่ใช่ Nvidia Tegra 2 1 GHz dual core อย่างที่คู่แข่งหลายรายเลือกใช้กัน นอกจากนั้นยังมีส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เรียกว่า hTC Sense ที่มีชื่อเสียง แถมยังมีปากกาสไตลัสแบบ Capacitive ให้ใช้งาน hTC Flyer เป็นสมุกโน้ตหรือสมุดวาดภาพดีๆ ได้อีกด้วย

สำหรับราคา $499 จะเป็นรุ่น WiFi เท่านั้น โดยเปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนนี้ ส่วนรุ่นที่เป็น 3G+WiFi ยังไม่เปิดรับจอง ยังไม่มีราคาและกำหนดการรับจองหรือส่งมอบ

อ้างอิง : engadget.com

ทำลิงค์ผิดครับ ส่วนรูปให้อัพไปที่เว็บรับฝากรูปแล้วค่อยทำลิงค์มาอีกที เอาแบบที่มีลิงค์ภาพตรงๆ ออกมาได้ ไม่่ใช่ให้กดเข้าไปดูที่เว็บเขา ลองดู photobucket.com ก็ได้ครับ

น่าจะเป็นเพราะไปติดตั้ง windows แบบตัดความสามารถบางอย่างออกไป คนทำอาจตัด modem ออกไปด้วย อาจต้องหา windows ตัวใหม่มาติดตั้งแทนครับ เพราะโดยปกติ แม้จะไม่มี driver แต่ใน device manager จะต้องเห็นอุปกรณ์และมีเครื่องหมายตกใจ บอกว่ายังใช้งานไม่ได้

แม้แท็บเล็ตที่วางขายในปี 2011 จะมีมากมายจะเลือกไม่ถูก แต่เชื่อว่าหลายๆ คนยังอยากได้แท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 มากกว่า จะด้วยความคุ้นเคยหรือเพราะประสิทธิภาพก็ตามที เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก มีคนทำเป็นตัวอย่างให้ดูกันแล้ว



แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android ทุกเครื่องจะใช้ัซีพียูสถาปัตยกรรม ARM ซึ่งไม่รองรับการติดตั้ง Windows 7 แต่ก็ยังมีหลายๆ คนอยากใช้งานมันอยู่ แม้จะใช้เพียงแค่บางโปรแกรมในระบบปฏิบัติการนั้น แน่นอนว่าผู้ผลิตก็คำนึงถึงจุดนี้ ASUS จึงมีโปรแกรมพิเศษให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน Windows 7 ในหน้าจอ Eee Pad Transformer ได้ ส่วนจะใช้ได้อย่างไรนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่า ASUS คงมีโปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่ใช้งาน Windows 7 และส่งผ่านหน้าจอมาที่ตัวแท็บเล็ต ลักษณะแบบเดียวกับการใช้งาน VNC อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่างๆ ทำได้ดีมากราวกับเรียกใช้งานบนแท็บเล็ตเอง มาดูคลิปตัวอย่างกัน



และหากจะใช้งานร่วมกับ Keyboard Dock แท็บเล็ต Eee Pad Transformer ยังสนับสนุนการเสียบคีย์บอร์ดและเมาส์ภายนอกให้ด้วย แน่นอนว่า Touchpad ก็สามารถใช้งานสั่งงานกับ Android 3.0 ที่ออกแบบมาสำหรับหน้าจอสัมผัสได้ด้วย ลองดูอีกคลิปดู



ยุคของ Post-PC Device กำลังเข้ามาครอบครองตลาดพีซีและโน้ตบุ๊คแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นาน เครื่องใหญ่ๆ โตๆ คงเหลือไว้กำลังการใช้งานหนักๆ เท่านั้น

อ้างอิง : netbooknews.com

ใช่ครับ

ปัญหาจากข้อ 1 ก็เป็นไปได้ ข้อสองไม่น่าใช่ ข้อ 2 ไม่แน่ใจ ไว้จะลองกลับไปลองกับเครื่อง A110 โมฯ ที่บ้านดู ส่วนข้อ 3 คงต้องไล่หาดู ไม่แน่เหมือนกัน เพราะมีการแกะเครื่อง อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่อีกปัจจัยหนึงคือ ลำโพงที่นำมาใช้ เป็นลำโพงแบบใส่ถ่านหรือเสียบไฟหรือไม่ บางทีช่องเสียบ audio out อาจเป็นสัญญาณใบ้ ต้องใช้ลำโพงแบบมีกำลังขยายในตัว ลองเสียบด้วยหูฟังดู หากเสียงออก ปัญหาน่าจะเป็นที่ลำโพงครับ

มันคงเป็นการดีไม่น้อย หากมีแท็บเล็ตที่สามารถติดตั้งได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ Android 3.0 ให้เลือกใช้ได้ตามต้องการ เชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดเหมือนกัน และ Intel กำลังจะทำฝันนี้ให้เป็นจริงแล้ว



โดยปกติแล้ว ระบบปฏิบัติการ Android จะเป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดเผยรหัส แต่สำหรับ Android 3.0 (Honeycomb) นั้น Google ยังไม่ได้เปิดเผยรหัสให้สาธารณชนรู้ ทำให้การปรับแต่งจากนักพัฒนาอิสระเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม Intel เป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของ Google และได้รับการเปิดเผยรหัสของ Android 3.0 ด้วย ทำให้สามารถจัดการปรับแต่งอะไรได้ง่าย และแน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ชิพของ Intel ต้องตกต้องเป็นรองชิพสถาปัตยกรรม ARM ในตลาดแท็บเล็ต Intel กำลังแปลงรหัส Android 3.0 ที่ออกแบบมาสำหรับชิพ ARM ให้สามารถทำงานกับชิพ x86 ของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าคงต้องใช้กับชิพตระกูล Intel Atom น่าจะเป็นรุ่น OakTrail ที่เพิ่งออกมาใหม่สดๆ ร้อนๆ

ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวลือ เนื่องจากได้รับคำยืนยันจากนาย Paul Otellini ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Intel เอง โดยเขาบอกว่ากำลังเร่งแปลงรหัสนี้อยู่ แม้จะยังไม่เสร็จภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่เชื่อว่าจะสามารถปล่อยออกมาได้ภายใน 1 ปี และนอกจาก Android และ Intel ยังแปลงรหัสระบบปฏิบัติการ MeeGo ด้วย โดยในอนาคต แท็บเล็ตที่ใช้ชิพจาก Intel จะสามารถเลือกติดตั้งระบบปฏิบัติการได้ทั้ง Windows, Android และ MeeGo เลยทีเดียว

หากทำได้สำเร็จก็เป็นเรื่องน่ายินใจ ผู้บริโภคจะได้มีทางเลือกมากขึ้น

อ้างอิง : slashgear.com

หลักๆ ที่เป็นกันหลายคน คือใช้ๆ แล้วเกิด kernel panic (จอฟ้าฝั่งผลไม้แหว่ง) บ้าง จอดับไปเองบ้างครับ

แม้แท็บเล็ตหลากหลายระบบปฏิบัติการจะเปิดตัวออกมาแข่งขันกัน แต่สำหรับแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้น ต้องบอกว่าค่อนข้างเงียบเชียบ คงเป็นเพราะประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการพลังงานของชิพแพลทฟอร์ม Intel Atom Pine Trail ยังทำได้ไม่ดีพอ ผู้ผลิตต่างๆ จึงรอชิพแพลทฟอร์ม OakTrail กัน



และในที่สุด ผลิตภัณฑ์ต้นแบบของแท็บเล็ตที่ใช้ชิพแพลทฟอร์ม Intel Atom OakTrail ก็เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว แท็บเล็ต Lenovo Ideapad ที่ใช้ชิพตระกูลนี้ก็เผยโฉมออกมาแล้วเช่นกัน โดยสเปคคร่าวๆ ของมันมีดังนี้

• ซีพียู Intel Atom Z670 Oak Trail
• หน่วยความจำ 2 GB
• SSD 30 GB
• หน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ขนาด 10.1" มาพร้อมกับปากกาแบบ capactive
• มีกล้องเว็บแคมความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
• มีพอร์ท USB และช่องเสียบ microSD card
• ระบบปฏิบัติการ Windows 7
• แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมง (อ้างอิงจากผู้ผลิต)

มาดูรูปลักษณ์รอบๆ ตัวของมันแบบวีดีโอกันดีกว่า



ใครที่อยากใช้แท็บเล็ตแต่ไม่อยากใช้ระบบปฏิบัติการที่ไม่คุ้นเคย ภายในปีนี้ แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 7 คงทยอยออกมาให้เลือกซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

อ้างอิง : blogeee.net

หลังจากประสบความสำเร็จจากรุ่น Aspire One 522 ที่ Acer นำชิพแพลทฟอร์ม AMD Fusion มาผลิตเป็นเน็ตบุ๊คหน้าจอ 10.1" ไปได้ไม่นาน Acer ก็เตรียมจะผลิตรุ่น Aspire One 722 ที่เป็นหน้าจอ 11.6" ออกมาบ้าง เชื่อว่าหลายๆ คนคงรอเน็ตบุ๊คขนาดหน้าจอนี้



Acer Aspire One 722 มีสเปคแทบไม่แตกต่างจากรุ่น Aspire One 522 เลย คือใช้ชิพแพลทฟอร์ม AMD Fusion ที่ประกอบด้วยซีพียู AMD C-50 ทำงานที่่ความถี่ 1 GHz แบบ dual core และใช้ชิพประมวลผลกราฟฟิค AMD Radeon HD 6250 เหมือนกัน



รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นลายหยดน้ำเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือขนาดของเครื่องและขนาดหน้าจอ โดยรุ่น 722 นี้จะมีขนาดหน้าจอ 11.6" แสดงผลที่ความละเอียดแบบ HD ที่ 1366 x 768 พิกเซล ปุ่มคีย์บอร์ดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย



นอกจากนั้น แบตเตอรี่ก็ได้รับการอัพเกรดให้ใช้ได้นานกว่ารุ่น 522 ที่ใช้ได้ 6 ชั่วโมงมาเป็น 7 ชั่วโมงอีกด้วย ไม่ต้องห่วงว่าชิพของ AMD จะใช้งานนานสู้ชิพของ Intel ไม่ได้



จุดเด่นของเน็ตบุ๊คแพลทฟอร์ม AMD Fusion คือนอกจากประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมดีกว่าเน็ตบุ๊คแพลทฟอร์ม Intel Pine Trail แล้ว มันยังมีพอร์ท HDMI สำหรับส่งภาพออกจอใหญ่ได้ด้วย หากดูบนหน้าจอของเครื่องก็ยังสามารถดูคลิป HD แบบ 720p ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากความละเอียดของหน้าจอรองรับได้



สำหรับใครที่คิดว่าหน้าจอ 10.1" ความละเอียด 1024 x 600 พิกเซลไม่พอใช้ แต่ยังอยากได้เครื่องราคาถูก ใช้งานได้ย่าวนาน Acer Aspire One 722 ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะเจาะ เชื่อว่าอีกไม่นาน อาจจะมีรุ่นที่ใช้ AMD E-350 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกในขนาดหน้าจอ 11.6" นี้ตามออกมาแน่ๆ ใครเป็นแฟน AMD คงได้มีเน็ตบุ๊คหรือโน้ตบุ๊คบางเบาให้เลือกซื้อในอนาคตอีกหลายรุ่นแน่ๆ

อ้างอิง : macle blog